Sunday, June 17, 2007

อนาถ อนาคต มหาวิทยาลัยไทย

บังเอิญเข้าไปในเว็บบอร์ดที่ผมเข้าไปอ่านเป็นประจำ มีน้องคนนึงเขาโพสต์ถาม จบปริญญาตรี แล้วอยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ห่วงเรื่องเงินเดือน+รายได้ ผมเลยตอบเขาไป ดังต่อไปนี้

1. มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของเมืองไทยไม่รับอาจารย์ใหม่ที่จบปริญญาตรีหรือโทแล้วครับ รับแต่ปริญญาเอก ยกเว้นจะสิ้นไร้ไม้ตอกหาไม่ไ้ด้จริงๆ (ซึ่งก็บ่อยครับ เพราะถึงจะกำหนดไว้อย่างนั้น รัฐบาลก็ไม่ค่อยมีทุนส่งไปเรียนต่อปริญญาเอก ใครมันจะบ้าไปเรียนเองล่ะครับ ยกเว้นเป็นเศรษฐี+บ้า ในตัวเดียวกัน)จึงต้องลองหาข้อมูลจากมหาวิทยาลัยที่คุณสนใจจะทำงานด้วยให้แน่นอนก่อนครับ

2. อาจารย์ใหม่แทบทั้งหมด ตอนนี้ไม่ได้เป็นข้าราชการแล้วครับเขาเรียกพนักงานมหาวิทยาลัย (หรือชื่ออะไรคล้ายๆนี้ ตามแต่ละมหาวิทยาลัย) ซึ่งมีระบบการจ้างต่างจากข้าราชการโดยปกติจะได้เงินเดือนโดยคิดจากเงินเดือนของข้าราชการในระดับที่เท่ากัน แล้วคูณด้วย 1.7 นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเงินเดือนเริ่มแรกของอาจารย์ระดับปริญญาเอก จึงได้ไม่ถึง 20000 บาทครับ (เรียนแทบตาย เหอเหอเหอ)


3. ภายใต้ระบบใหม่นี้ ไอ้ตัวคูณ 1.7 คิดสะระตะจากสิทธิประโยชน์ต่างๆที่เคยได้รับจากระบบเดิม โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลของบุตร-ภรรยา-สามี-พ่อแม่-และตัวเองพนักงานมหาวิทยาลัยทุกคน ซึ่งโดนยกเลิกหมดพร้อมบำเหน็จบำนาญ แล้วโดนบังคับให้จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน เวลาไปโรงพยาบาลเขาก็แยกไปไว้คลีนิคต่างหาก ป่วยหนักขนาดไหนก็ได้ยา พารา+อะมอกซิซิลลิน (ประหยัดสุดๆ ประหยัดกว่าพวกบัตรทองอีกครับ และพนักงานมหาวิทยาลัย ไม่มีสิทธิทำบัตรทองของพี่ทักกี้นะคร้าบบบบบบ) ตอนนี้ผมเจียดเงินเดือนตัวเองซื้อประกันสุขภาพแล้วครับ ไม่ไหวจริงๆ ว่างๆจะเดินเข้าไปทะเลาะกับฝ่ายการคลังของมหาวิทยาลัย ขอเลิกจ่ายเงินประกันเส็งเคร็งให้รัฐบาลซะที ไม่เคยให้อะไรกรูเลยครับ มีแต่ดูดกรูไป


4.ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ผศ. รศ. หรือ ศ. แล้วครับแต่เืมื่อได้ตำแหน่งทางวิชาการพวกนี้ จะได้ปรับเงินเดือนกระโดดข้ามไปค่อนข้างมาก


5.แต่ไอ้ที่ว่ามาก ก็ไม่มากมายอะไร น้อยจนเกินจริงครับส่วนที่รีบนๆบอกว่าบางคนรับเป็นแสน ทำ consult อย่างนั้นเขาเรียกรับจ๊อบ ค้าฝิ่น ขายยาแสบแ_ด ครับ


6.ทราบไหมครับว่า เงินเดือนศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของไทย น้อยกว่าเงินเดือน ผู้พิพากษา นายพล อัยการ ตำรวจ และข้าราชการอีกหลายสาย ไม่นับไอ้พวกลูกศิษย์ที่จบไปแผล็บเดียว เงินเดือนก้าวพรวดๆๆๆๆๆ เลยครับ


7.คนที่ยังทนทำอยู่ รวมทั้งผมด้วย ส่วนใหญ่อยู่ด้วยใจครับ ไอ้ที่ตั้งหน้าตั้งตากอบโกย เกาะตำแหน่งเพื่อหาผลประโยชน์โดยไม่ได้มีจิตใจเป็นครู ไม่สนใจประโยฃน์ของประเทศชาติ ก็มีอยู่เป็นธรรมดาครับ ที่ไหนก็มี


แต่ผมก็ไม่บังอาจไปว่าคนที่เขารับจ๊อบหรอกครับ
โดยหลักการแล้ว อาจารย์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่ผลิตมันสมองให้ประเทศ
แล้วแมร่งยังดูแลกัน เอี้ยยยยยยยยยยขนาดนี้ จะให้เขาทำยังไงล่ะครับ

8.พอเศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นมา รับรองว่ามหาวิทยาลัยของรัฐเกิดสมองไหลระดับเกือบสิ้นซากแน่ๆ โดยเฉพาะสายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรรม และอะไรที่เขาชอบใช้คอนซัลท์ และหาเงินง่ายๆน่ะครับ) เคยเกิดมาแล้วด้วยครับเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนนี้

9.ทั้งหมดนี้เป็นความเ้ลวของนักการเมืองไทยทั้งระบบครับลองดูสิครับว่าการปฏิรูปการศึกษามันล้มมากี่ครั้งแล้วครับ กี่ครั้งๆนักการเมืองก็โทษข้าราชการ และคนในระบบ (แน่นอนในระบบมันก็มีคนไม่ดี ไร้ประสิทธิภาพ แต่คนเหล่านั้น ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมายนี่ครับ ตราบใดที่การกำหนดนโยบายและทิศทางของการบริหารการศึกษามันตั้งใจจะให้มีประสิทธิภาพจริงๆ มันต้องได้ดีกว่าสภาพ เอี้ยๆ อย่างทุกวันนี้)

10.ทฤษฎีสมคบคิดที่ผมเชื่อโดยหาหลักฐานไม่ได้เพราะไม่มีมือมีตีนไปหา มีอยู่ว่า ไอ้พวกนักการเมืองแมร่งไม่อยากให้ปฏิรูปการศึกษา สำเร็จหรอกครับ ไม่ว่าระดับไหน ประถม มัธยม อุดม
เหตุผลง่ายๆครับ
มันจะได้หลอกคนไทยไปวันๆ ไปได้อีกนานแสนนาน
ดูอย่างวิดีโอที่สนามหลวงสิครับ เหอเหอ

3 comments:

Anonymous said...

เขาบอกว่า คนเป็นอาจารย์จะได้ความชุ่มชื่นหัวใจที่ได้จากการสอนลูกศิษย์ซึ่งมีค่ามหาศาลเป็นการตอบแทนไปแล้ว
ผลตอบแทนด้านอื่น ๆ ก็เลยลดน้อยลงเป็นธรรมดาค่ะอาจารย์
:D

Anonymous said...

ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับบทความ

Nat - The One Phuket said...

เห็นด้วยและชื่นชมกับความคิดคุณค่ะ